ตามที่ประเทศไทย โดยการริเริ่มของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ ได้ให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือเซเนกัลเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาโรคมาลาเรีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือด้านสาธารณสุขที่มีมาอย่างต่อเนื่องระหว่างไทยและเซเนกัล นั้น

                        เพื่อเป็นการดำเนินโครงการให้ต่อเนื่องและได้ผลดียิ่งขึ้น ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน ถึง 4 กรกฎาคม 2553 สำนักงานพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ (สพร.) และคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันและรักษาโรคมาลาเรียจากคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้เดินทางมาเยือนเซเนกัลและทำการศึกษาความเป็นไปได้และสำรวจข้อมูลเพื่อนำไปประกอบการกำหนดรูปแบบโครงการหมู่บ้านนำร่องต่อต้านมาลาเรีย 

ระหว่างการเยือนครั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้นำเจ้าหน้าที่ สพร. และคณะผู้เชี่ยวชาญ เข้าพบและหารือกับหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เซเนกัลในด้านสาธารณสุข เช่น หน่วยงาน USAID ของสหรัฐอเมริกา และ KOICA ของสาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น และได้เดินทางร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขของเซเนกัล ไปยัง 3 หมู่บ้านที่เป็นท้องที่ชนบท ประชากรส่วนใหญ่มีฐานะยากจน คือ หมู่บ้าน Sagnolfil ในเมือง Pout และหมู่บ้าน Keur Alpha หมู่บ้าน Diene ในเมือง Kaolack เพื่อทำการศึกษาพื้นที่ และสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาลาเรียต่อชุมชน แนวทางและวิธีป้องกันที่ชุมชนได้รับจากหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนได้หารือกับเจ้าหน้าที่ปกครองในระดับเมืองและหมู่บ้าน และสำรวจหน่วยการแพทย์และการพยาบาลต่างๆ เช่น สถานีอนามัยระดับเมือง และระดับหมู่บ้าน เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการดำเนินโครงการหมู่บ้านนำร่องต่อต้านมาลาเรียด้วย                                                

                        สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ เห็นว่า จากการเดินทางมาเยือนเซเนกัลครั้งนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาหาหมู่บ้านที่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นโครงการหมู่บ้านนำร่องต่อต้านมาลาเรีย และขณะเดียวกันจะช่วยพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยกับเซเนกัล ทั้งด้านพัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้านเทคนิคการสาธารณสุข และยังจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสาธารณสุขอีกทางหนึ่งด้วย

อนึ่ง ในการเดินทางมาเยือนเซเนกัลครั้งนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความรู้ เกี่ยวกับโรคมาลาเรีย การป้องกันตนจากโรคมาลาเรีย และแนวทางเบื้องต้นในการรักษาในกรณีติดเชื้อ แก่ข้าราชการของสถานเอกอัครราชทูตฯ ด้วย